อาร์เซน่อล สโมสรจอมปั้นแบ็ค

สโมสร อาร์เซน่อล ที่เคยครองความยิ่งใหญ่ในช่วงยุค 2000 เรืองอำนาจแย่งแชมป์ศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ร่วมกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แบบผลัดหน้ากันขึ้นชูถ้วย เหมือนว่า กำลังเข้าสู่ยุคใหม่ ต้องการล้างบางระบบ แล้วเริ่มต้นสร้างทีมจากรากฐาน ซึ่งกำลังไปได้สวยเลยทีเดียว

โลกฟุตบอลทุกวันนี้ ตามความเป็นจริง มันกลายเป็นเรื่องของธุรกิจ มากกว่ากีฬาไปแล้ว ยิ่งภาวะเศรษฐกิจกำลังชะงักไปทั่วโลก จากภาวะวิกฤติโควิด-19

หลายสโมสรต้องเข้าโปรแกรมรัดเข็มขัด บริหารการเงิน เพื่อประคองตัวให้รอด ผ่านไปในแต่ละเดือน จนกว่าสถานการณ์จะกลับมาเป็นปกติ หากสโมสรไหน เดินบัญชีดี เซ็นสปอนเซอร์เข้ามาเยอะ มีรายจ่ายน้อย มีความสมดุลย์ด้านการเงิน ย่อมไม่น่ามีอะไรให้ห่วง

อย่างไรก็ตาม การจับจ่ายใช้สอย เพื่อการเสริมทัพ ระหว่างช่วงตลาดนักเตะเปิด ย่อมเป็นสิ่งที่ แฟนบอล ทุกทีม ต่างคาดหวังว่า ทีมที่พวกเขาสนับสนุนจะจับจ่ายแบบเเต็มที่ ไม่มีอั้นงบประมาณ ยิ่งเฉพาะกับทีมชั้นนำระดับหัวตารางด้วยแล้ว หลีกเลี่ยงภาระตรงจุดนี้ได้ยาก

เพื่อเป็นการปรับตัวเข้ากับสภาพเศรษฐกิจ ชั่วโมงนี้หลายทีม เริ่มมาให้ความสนใจ ในระบบการพัฒนาเยาวชนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมีข้อดีต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะการประหยัดค่าใช้จ่าย

ไม่เพียงเท่านั้น การแข่งขันในรายการต่างๆ ทั้งบอลลีก หรือ บอลทัวร์นาเมนต์ระดับทวีป ได้มีการใส่กฏเรื่องโควต้า โฮมโกรว์น เอาไว้ด้วย เพื่อเป็นการป้องกัน ทีมเงินถุงเงินถัง ที่เอาแต่ทุ่มซื้อเพียงอย่างเดียว ปิดกั้นโอกาสเด็กๆ ภายในประเทศ ที่ต้องการก้าวขึ้นมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก

ในจุดนี้แต่ละทีมก็มีนโยบาย และ ความถนัด ในการปั้นนักเตะแต่ละตำแหน่ง แตกต่างกันออกไป ซึ่งมีโอกาสน้อยมาก ที่ทาง แฟนบอล จะได้เห็น การเกิดแบบทะลุบ้องยกชุดของนักเตะจากทีมอะคาเดมี่ เหมือนตำนานยุค คลาส ออฟ ไนตี้ทู ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ดันเด็กที่มีพรสวรรค์ ทั้งแนวรุก-แนวรับ ขึ้นมาใช้งานแบบจริงจัง จนประสบความสำเร็จเกินกว่าที่ตั้งความหวังไว้

บทความชิ้นนี้เว็บไซต์ ออฟพิชท์ ได้หยิบยกเอาหนึ่งสโมสร ทีมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ ในการปั้นนักเตะในตำแหน่งฟูลแบ็ค ที่ดันเยาวชนในตำแหน่งนี้ ขึ้นมาจากทีมอะคาเดมี่แล้วหลายราย

ซึ่งล้วนแล้วแต่แจ้งเกิดได้แบบเต็มตัว หรือมีศักยภาพเพียงพอ ที่จะค้าแข้งให้กับทีมในลีกสูงสุด อย่างต่อเนื่องแบบรุ่นสู่รุ่น ไม่ขาดตอน จะเป็นทีมใดไปไม่ได้เลย นอกจากยอดทีมแห่งลอนดอนเหนือ “หากคิดถึงแบ็คชั้นดี คิดถึง ไอ้ปืนใหญ่

อาร์เซน่อล กับการปั้น แอชลี่ย์ โคล

อาร์เซน่อล-1

ผู้เล่นในตำแหน่งฟูลแบ็คที่ทาง เดอะ กันเนอร์ส ปั้นขึ้นมาแล้ว เป็นที่รู้จักมากที่สุดในแวดวงแฟนบอล ยุค 2000 หนีไม่พ้น แอชลี่ย์ โคล ที่ก้าวไปได้ไกลถึงขนาด สามารถเป็นตัวหลัก แนวรับฝั่งซ้ายของ ทีมชาติอังกฤษ แบบยาวๆ ได้ยุคหนึ่งเลยทีเดียว ถึงขนาดบดบังรัศมีคู่แข่งอย่าง เวย์น บริดจ์ จนหมดท่า

สไตล์การเล่นของ โคล นั้นมีความโดดเด่น ทั้งเกมรุก และ เกมรับ มีสปีดที่จัดจ้าน สามารถตะบึงควบ ไล่บี้กับปีกคู่แข่ง ได้อย่างไม่เป็นรอง แถมเกมรุก ก็เติมขึ้นไปทางฝั่งซ้าย แล้วมีลูกครอสที่อันตราย เข้าพื้นที่พร้อมให้ศูนย์หน้าจบสกอร์ แบบประมาทไม่ได้เลย

ยังไม่นับความสามารถพิเศษ เรื่องปฏิกิริยา ในการสกัดบอลช่วงคับขัน ออกจากเส้นประตู อีกหลายครั้งหลายครา จนแฟนบอล มั่นใจได้เลยว่า สิ่งที่ โคล ทำได้มันไม่ใช่เรื่องฟลุ๊คแน่ๆ แต่เป็นประสบการณ์ และ การอ่านเกมที่ยอดเยี่ยม

ช่วงเวลาที่ โคล ค้าแข้งให้กับ อาร์เซน่อล ช่วยทีมคว้าแชมป์ลีกได้สองสมัย บวกกับ เอฟเอ คัพ อีก 3 สมัย ซึ่งผลงานชิ้นโบว์แดง ย่อมเป็น แชมป์ไร้พ่ายในปี 2003-2004 อย่างแน่นอน

น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ที่ โคล เลือกที่จะเดินเส้นทางต่อไป ด้วยการย้ายไป เชลซี อริร่วมกรุงลอนดอน เลยสร้างความขุ่นข้องหมองใจให้กับเหล่าผู้สนับสนุนทีมไม่น้อย

แต่การแลกมาด้วยแชมป์ยุโรปทั้ง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และ ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก เชื่อว่า โคล คงไม่เคยเสียใจ กับการย้ายทีมครั้งนั้น เพราะถึงอยู่กับทีมต่อไป ก็คงไม่มีทางไปถึงฝัน ไม่เชื่อก็ลองดูทุกวันนี้ ที่ทำไดด้ดีที่สุดแค่คำว่าใกล้เคียง

อาร์เซน่อล กับการปั้น เอคตอร์ เบลเยริน

อาร์เซน่อล-2

นักเตะรายต่อมาที่คัดเอามาติดในลิสต์ แม้จะไม่ใช่ลูกหม้อ อยู่กับทีมมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก แต่การที่ เอคตอร์ เบลเยริน ได้รับโอกาสลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ของ ไอ้ปืนโต จากการก้าวขึ้นมาจากชุดสำรอง นับว่าเป็นอีกหนึ่งผลงานชิ้นโบวแดงของทีมอะคาเดมี่ ที่เล็งเห็นแล้วว่า ศักยภาพของแบ็คขวาชาวสเปน รายนี้มีดีพอ ที่จะก้าวขึ้นไปเล่นในลีกสูงสุดได้

ต่อให้ เบลเยริน จะเป็นผลผลิตจากศูนย์ฝึก ลา มาเซีย ของ บาร์เซโลน่า ที่ถูกแต๊บมาเล่นในอังกฤษ ไม่มีใครกล้าการันตีได้เลยว่า ถ้าเขาเลือกเล่นในบ้านเกิดต่อไป จะมีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นตัวจริงให้กับอดีตต้นสังกัดได้

ตั้งแต่ย้ายมาจอยทัพ ปืนโต ตั้งแต่ 2011 เบลเยริน ใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองถึง 3 ปี กับทีมชุดอายุต่ำกว่า 18 ปี ทีมชุดสำรอง รวมไปถึงการปล่อยให้ไปเล่นแบบยืมตัว เพื่อเก็บประสบการณ์กับ วัตฟอร์ด

แล้วในฤดูกาล 2014-2015 เข้าก็ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลัก ให้กับทีมชุดใหญ่ได้สำเร็จ จากการเล่นที่โดดเด่นเกินอายุ มีทั้งความเร็ว การเติมเกมบุกที่เมามัน และ เกมรับที่พอใช้ได้ ทำให้เขาได้ลงสนามไปถึง 30 นัดทุกรายการ หากมองในมุมของต้นสังกัดแล้ว นับว่าเชื่อในฝีเท้าของ เบลเยริน ค่อนข้างมาก จึงกล้ามอบโอกาส ให้ลงเล่นอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่อายุยังน้อย

แถมจบฤดูกาล ด้วยการคว้าโทรฟี่ เอฟเอ คัพ มาครองได้สำเร็จ กลายเป็นการเดิมพัน ที่วัดใจได้ถูกต้องอย่างมาก จุดพีคที่สุดของ เบลเยริน คือการก้าวขึ้นไปติดทีมชาติสเปนชุดใหญ่ ขณะที่ฟอร์มกำลังขึ้นหม้อ แถมมีข่าวเนืองๆ ว่า บาร์ซ่า ต้องการดึงตัวเขา กลับไปเล่นในบ้านเกิด

อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดดฟูลแบ็ครายนี้ ก็เหนีไม่พ้นการเข้าทีม ฮอสปิตอล แบนด์ โดนอาการบาดเจ็บเล่นงานเข้าจนได้ เป็นขาประจำในโรงหมอ ไม่ค่อยลงเล่นได้เต็มศักยภาพ จนในที่สุดฟอร์มก็หดหาย เหมือนที่ แฟนบอล เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน

ชคยังดดีที่ฤดูกาลนี้ เบลเยริน เสี่ยงดวงย้ายไปอยู่กับ เรอัล เบติส แล้วกลับมาทำผลงานได้อยู่ในระดับที่น่าพอใจอีกครั้ง มีแชมป์ โกปา เดล เรย์ ติดไม้ติดมือ แต่ไม่มีใครรู้ได้ว่า อนาคตของเขา จะลงเอยแบบไหนกันแน่

ความหวังใหม่ บูกาโย่ ซาก้า ที่เริ่มต้นจากแบ็คซ้าย

อาร์เซน่อล-3

ส่วนนักเตะรายสุดท้าย ที่คัดเข้ามาในรายชื่อ แม้จะไม่ใช้แบ็คโดยธรรมชาติ แต่การไปยืนตำแหน่งแบบขัดตราทัพ ก็ทำผลงานออกมาได้อย่างดีเยี่ยม จะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจาก “น้อน” บูกาโย่ ซาก้า ขวัญใจคนใหม่ ที่เป็นของรักของหวงที่สุดของ แฟนบอล เดอะ กูนเนอร์ส ณ ตอนนี้ หลังมีชื่อติดทีมชาติอังกฤษ ไปลุยศึกยูโรครั้งล่าสุดมาหมาดๆ

แถมได้ลงเล่นเป็นตัวจริง ในตำแหน่งปีกขวา เป็นตัวเลือกก่อนหน้า เจดอน ซานโช่ และ ฟิล โฟเด้น ที่ถูกอวยมากกว่าเสียอีกในทัพ สิงโตคำราม ที่มีทาง แกเร็ธ เซาท์เกต เป็นผู้กุมบังเหียน

ซาก้า เป็นลูกหม้อแท้ๆ ของ อาร์เซน่อล ที่ปลุกปั้น มาตั้งแต่เริ่มต้นเส้นทางลูกหนัง แล้วเป็นทาง อูไน เอเมรี่ อดีตบิ๊กบอสชาวสเปน ให้โอกาสแจ้งเกิด โดยจับไปเล่นเป็นแบ็คซ้ายจำเป็น เพราะตอนนั้นทีมประสบปัญหา อาการบาดเจ็บ จนเจอวิกฤติในตำแหน่งดังกล่าว แม้รูปร่างของเขาจะดูผอมบาง ไม่ได้มีรูปร่างสูงใหญ่

แต่ทักษะฟุตบอล บวกกับวินัยในการเล่น ช่วยให้เขาเอาตัวรอด ในการเล่นบนลีกสูงสุดแดนผู้ดี ได้อย่างไร้ปัญหา เติมเกมบุกก็น่ากลัว เกมรับก็ใช้ความเร็ว บวกกับลูกตื้อ เล่นงานปีกคู่แข่ง จนไปไม่เป็นมาแล้วนักต่อนัก

เพียงแค่ไม่นาน มูลค่าของเขาในตลาดซื้อ-ขาย พุ่งไปถึง 65 ล้านยูโร เลยทีเดียว นับเป็นสินทรัพย์ชิ้นสำคัญ ที่ต้องห้ามเสียไป หากหวังจะพาทีม กลับไปสู่ความสำเร็จอีกครั้ง เนื่องจากสื่อส่วนใหญ่มองว่า ซาก้า นั้นมีคุณภาพฝีเท้า ที่พัฒนาได้อีกไกล จากการเล่นที่ดูกล้าเกินอายุ

โชคยังดีหน่อย ที่สัญญาฉบับปัจจุบันของเขายังเหลือถึงปี 2024 ทำให้ อาร์เซน่อล วางใจได้ว่าอย่างน้อย พวกเขาสามารถเก็บสตาร์รายนี้ เอาไว้ได้อย่างน้อยอีก 2-3 ปี เชื่อว่า การได้กลับมาเล่นในแนวรุก ที่เป็นตำแหน่งถนัด จะยิ่งทำให้เขาพัฒนาฝีเท้าไปได้ไกล จนมีสิทธิ์ก้าวไปเป็นซูเปอร์สตาร์ ได้ในเร็ววันนี้ ซึ่งหากมองจากฟอร์มที่ร้อนแรงในปัจจุบัน ยังไง ซาก้า ก็ต้องมีชื่อไปลุยศึก ฟุตบอลโลก ช่วงปลายปีนี้อย่างแน่นอน

เว็บไซต์ ออฟพิชท์ มุ่งเน้นการนำเสนอ ข่าวสารที่น่าสนใจ จากวงการฟุตบอลทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะเป็นในประเทศ หรือ นอกประเทศ ประเด็นไหนที่กำลังร้อนตามกระแส ไม่มีทางปล่อยผ่านให้หลุดมือ พร้อมตีแผ่ให้ลึกแบบถึงกึ๋น ติดตามพวกเราไว้ รับรองได้ว่า ไม่มีตกเทรนด์แน่นอน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *