
หากพูดถึง การรีไทร์เบอร์เสื้อ แฟนกีฬาส่วนใหญ่ มักจะคุ้นชินกับประเพณีดังกล่าว ในศึก อเมริกัน เกมส์ อาทิ บาสเกตบอล หรือ อเมริกัน ฟุตบอล เสียมากกว่า โดยการยกเลิกเบอร์ดังกล่าว ไม่ให้มีผู้เล่นคนไหน มาใส่อีกตลอดกาล

ถือว่าเป็นการได้รับเกียรติที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก และ เป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงสุด ระหว่างทีมต้นสังกัด กับ ตัวนักกีฬา แต่ธรรมเนียมปฏิบัตินี้ เริ่มจะหมดความขลัง เอาเสียแล้วในบางที เพราะพอมีเด็กใหม่ ที่ถูกคาดการณ์ว่า วันนึงจะกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ก้าวเข้ามาสู่ทีม แล้วทำการขออนุญาติสานต่อ เจอร์ซี่ย์ จากตัวเจ้าของ ให้แฟนกีฬาได้เห็นกันผ่านตา
ซึ่งในวงการลูกหนังบางสโมสร ก็ได้รับเอาประเพณี การยกเลิกเบอร์เสื้อ มาเป็นแนวทางปฎิบัติ แม้จะไม่ใช่เทรนด์ฮิต แต่ก็มีให้เห็นกันบ้างตามลีกต่างๆ โดยเฉพาะในลีก กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี หนึ่งในห้าลีกใหญ่ของทวีปยุโรป นั้นดูเหมือนว่า จะมีหลายสโมสร ที่ปฏิบัติกันเป็นธรรมเนียมไปแล้ว
ความจริงแล้วให้เกียรติเช่นนี้ในวงการฟุตบอล นั้นมาจากหลากหลายเหตุผล ซึ่งต้องยอมรับว่า มันมีทั้งเรื่องดี และ เรื่องร้าย ปะปนกันไป
หากเป็นเรื่องดีหนีไม่พ้น นักเตะคนดังกล่าว พาทีมคว้าแชมป์มากมายนับไม่ถ้วน อยู่กับทีมมาอย่างยาวนาน หรือ สร้างคุณูปการมากมาย ให้กับต้นสังกัด จนสโมสรยินดีที่จะมอบหมายเลขเสื้อตัวนั้น ให้เป็นเหมือนดั่งสัญลักษณ์ของเจ้าตัว
แต่ถ้าเป็นเรื่องร้าย จะเป็นการยกเลิก เนื่องจากนักเตะที่เคยสวนใส่เสื้อเบอร์ดังกล่าว เผชิญกับโศกนาฎกรรม อันน่าเศร้า ยกตัวอย่างเช่น ป่วยเป็นโรคร้ายอย่างมะเร็ง หรือ เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต ระหว่างลงทำการแข่งขัน
บทความชิ้นนี้เว็บไซต์ ออฟพิชท์ ได้รวบรวม เบอร์เสื้อหมายเลขต่างๆ ที่ถูกรีไทร์ จากสโมสรในลีกอิตาลี โดยมุ่งเน้นไปที่สโมสร ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง คุ้นหูแฟนบอลชาวไทย เพื่อคลายความสงสัย ว่าทำไมทีมนี้ ไม่มีใครใส่เบอร์ดังกล่าว และ เล่าถึงความเป็นมาในการทำเช่นนั้น
การรีไทร์เบอร์เสื้อ เอซี มิลาน

เริ่มต้นกันที่สโมสร เอซี มิลาน ยักษ์หลับแห่งลีกแดนมักกะโรนี ที่แฟนบอลกัลโช่พันธุ์แท้ คงทราบกันดีว่า เสื้อหมายเลข 3 ของสโมสร นั้นถูกรีไทร์ขึ้นหิ้งไปแล้ว ด้วยการยกให้กับ เปาโล มัลดินี่ กองหลังระดับตำนาน ที่ค้าแข้งให้กับทีม มาอย่างยาวนานถึง 25 ฤดูกาลเลยทีเดียว
ดาวเตะรายนี้ นับว่าเดินตามรอยเท้าคุณพ่อ เซซาเร่ มัลดินี่ ผู้ล่วงลับ ที่เคยสร้างชื่อเสียงอย่างโด่งดัง ในช่วงปลายปี 60 ในการค้าแข้งกับสโมสรแห่งนี้ ด้วยการเล่นในตำแหน่งสวีปเปอร์ หรือ กองหลังตัวเก็บกวาด เป็นปราการด่านสุดท้าย ก่อนจะถึงผู้รักษาประตู
ไม่น่าแปลกใจที่ เด็กชายเปาโล จะมีคุณพ่อเป็นไอดอล แล้วเลือกเส้นทางการค้าแข้ง ด้วยการเป็นนักเตะเยาวชนของ ปีศาจแดงดำ ก่อนจะได้รับโอกาส ลงสนามให้กับทีมชุดใหญ่ครั้งแรก เมื่อถูกเปลี่ยนลงไปเล่นเป็นตัวสำรอง ในเกมที่บุกไปเยือน อูดิเนเซ่ ซึ่งตอนนั้นเขามีอายุเพียง 17 ปีเศษเท่านั้น
จากการเล่นที่นิ่งเกินวัย ฤดูกาลถัดมา มัลดินี่ ถูกดันขึ้นเป็นตัวหลักเต็มตัว ลงสนามไปมากถึง 39 นัดทุกรายการให้กับต้นสังกัด โดยตำแหน่งแจ้งเกิดของเขา เป็นแบ็คซ้าย แต่พอสั่งสมประสบการณ์ จนมีความเก๋าเกมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ถูกจับให้ไปยืนเป็น เซนเตอร์แบ็ค หรือ กองหลังตัวกลาง ซึ่งก็ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมไม่ต่างกัน
มัลดินี่ เป็นกองหลังที่มีความเร็ว เข้าปะทะได้แม่นยำ มีการอ่านเกมที่เฉียบขาด แถมไม่ค่อยโดนอาการบาดเจ็บหนักรบกวน จนต้องพักการลงสนาม แบบยาวๆ ตลอดการค้าแข้ง เกียรติประวัติส่วนตัวของเขา กวาดรางวัลมาเต็มตู้ ติดทีมยอดเยี่ยมแทบทุกสถาบัน เช่นเดียวกับการช่วยทีมคว้าแชมป์ ที่ได้ครบทุกแชมป์ในลีกบ้านเกิด รวมไปถึงแชมป์ยุโรป
แต่น่าเสียดาย ที่ผลงานในระดับชาติ มัลดินี่ ไปไม่ถึงดวงดาว พา ทีมชาติอิตาลี ไปไกลมากที่สุด แค่รองแชมป์โลก และ รองแชมป์ยูโร เพียงเท่านั้น
มัลดินี่ ได้รับเกียรติให้ได้รับรางวัล วัน คลับ แมน ในปี 2016 จากการที่เป็นนักเตะ อันจงรักภักดีกับต้นสังกัด ค้าแข้งโดยไม่มีการย้ายทีมเลย ตลอดจนจบเส้นทางลูกหนัง เขาเป็นหนึ่งในกองหลังกระดูกเหล็ก ลงสนามให้กับสโมสรไปถึง 902 นัดทุกรายการ มากที่สุดตลอดกาล ยังไม่มีใครเทียบเคียงสถิติของเขาได้
อย่างไรก็ตาม กรณีเดียว ที่เสื้อหมายเลข 3 ของเขา จะถูก เอซี มิลาน นำกลับมาใช้อีกครั้ง นั่นคือการยกให้กับ ทายาททางสายเลือดของเขา ที่สังกัด ปีศาจแดงดำ เท่านั้น ซึ่งเจ้าตัวก็บอกเองแล้วว่า ไม่มีปัญหาใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยในปัจจุบัน ดาเนี่ยล มัลดินี่ ได้เดินตามรอยเท้าพ่อ และ ปู่ ด้วยการฝากชีวิตกับ เอซี มิลาน เช่นเดียวกัน
แต่ผ่าเหล่าผ่ากอ ลงเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุก ซึ่งคงจะดูแปลกไม่น้อย หากนำเอาเบอร์ 3 กลับมาสวมอีกครั้ง ส่วนตัว เปาโล ผู้เป็นพ่อ ตอนนี้ดำรงค์ตำแหน่ง ประธานเทคนิคของสโมสร ถือเป็นบิ๊กบอสที่มีอำนาจ ในการควบคุมการบริหารทีม มากที่สุดคนหนึ่ง เลยทีเดียว

ความจริงแล้ว ปีศาจแดงดำ มีหมายเลขอีกเบอร์หนึ่ง ที่ถูกรีไทร์จากสโมสร นั่นก็คือ หมายเลข 6 ซึ่งถูกยกให้กับ ฟรังโก้ บาเรซี่ ยอดสวีปเปอร์รุ่นพี่ของ มัลดินี่ นั่นเอง ซึ่งทาง บาเรซี่ ดีกรีโดยรวม ถือว่าประความสำเร็จ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลยแม้แต่น้อย
ฝากชีวิตค้าแข้งกับสโมสรเดียว ตลอดระยะเวลา 20 ปี ฝีเท้ายอดเยี่ยมถึงขนาด ได้รับการยกย่องให้เป็น ผู้เล่นแห่งศตวรรษของสโมสรในปี 1999 กวาดแชมป์ระดับสโมสรครบถ้วน แถมยังมีแชมป์โลกในปี 1982 ติดไม้ติดมืออีกด้วย น่าเสียดายไปหน่อย ที่กองหลังรายนี้
ไม่ได้จัดเป็นนักเตะกระดูกเหล็ก ลงเล่นไปแค่ 532 นัดให้กับสโมสร แถมดังในยุคที่แฟนบอลรุ่นหลัง อาจไม่ติดตา หรือ คุ้นชื่อเท่าไหร่นัก…เลยเหมือนถูกเนิร์ฟระดับฝีเท้า ไปพอสมควรเลยทีเดียว
การรีไทร์เบอร์เสื้อ อินเตอร์ มิลาน
ต่อกันที่คู่อริร่วมเมืองมิลานกันบ้าง จะเป็นทีมใดไปไม่ได้ นอกจาก อินเตอร์ มิลาน ที่เป็นคู่รักคู่แค้นร่วมเมือง ต่อกรแย่งความสำเร็จกับ เอซี มิลาน มาหลายยุคหลายสมัย แม้จะแชร์สนามร่วมกัน แต่ก็ใช้ชื่อเรียกคนละชื่อ ยามลงทำการแข่งขัน
ถ้าจะกล่าวถึงยุคทองของ งูใหญ่ ที่เริ่มเขย่าวงการลูกหนัง ต้องย้อนกลับไปในยุค 60 ที่ถูกขนานนามว่า “แกรนด์ อินเตอร์” หรือ “กรังเด อินเตอร์” ที่มี เฮเลนิโอ เอร์เรร่า เทรนเนอร์ชาวอาร์เจนติน่า เป็นผู้กุมบังเหียนในขณะนั้น ตลอดระยะเวลาที่อยู่กับทีม เป็นเวลา 8 ปี

เอร์เรร่า พาทีมผงาดคว้าแชมป์ลีก 4 สมัย, โคปปา อิตาเลีย 1 สมัย, ยูโรเปี้ยน คัพ 2 สมัย และ อินเตอร์คอนติเนนทัล คัพ อีก 2 สมัย เรียกว่า แทบจะการันตีความสำเร็จทุกปี แน่นอนว่ายอดกุนซือ ย่อมต้องมี ยอดขุนพลคู่กาย ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากเจ้าของเบอร์ 3 ที่สโมสรยอมทำ การรีไทร์เบอร์เสื้อ ให้ ด้วยความยินดีอย่าง “จาซินโต้ ฟัคเค็ตติ“
ฟัคเค็ตติ เป็นผู้เล่นกองหลัง ในตำแหน่งแบ็คซ้าย ถูกขนานนามให้เป็น ยอดแบ็คจอมบุกยุคแรกเริ่ม เต็มไปด้วยศักยภาพที่เพียบพร้อมทั้ง ความเร็ว ความแข็งแกร่งของร่างกาย เทคนิค รวมไปถึงความฉลาดในการเล่น ไม่ผิดนักที่หลายสื่อจะยกย่องให้เขา เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดตลอดกาล ในตำแหน่งดังกล่าว
แถมตัว ฟัคเค็ตติ ยังมีความเป็นผู้นำ ถูกทั้งสโมสร และ ทีมชาติอิตาลี ยกให้เป็นผู้สวมปลอกแขนกัปตันทีม ต่อเนื่องอย่างยาวนานเป็นเวลาหลายปี จัดการกวาดแชมป์เรียบวุธในระดับสโมสร ส่วนในระดับชาติดีกรีไปถึงแชมป์ยูโร 1 สมัย และ รองแชมป์โลก อีกหนึ่งสมัย
ตลอดการค้าแข้ง ฟัคเค็ตติ จัดเป็นหนึ่งในนักเตะ ที่มีความจงรักภักดีกับต้นสังกัด ไม่เคยย้ายทีม แม้แต่ครั้งเดียว ฝากชีวิตไว้เป็นขุนพล เนรัซซูรี่ 19 ฤดูกาล ลงเล่นไปทั้งหมด 476 นัด ถล่มประตูไปถึง 59 ลูก คงไม่มีข้อกังขาใดๆ จากแฟนบอล ในการยกหมายเลข 3 ของทีม ให้เป็นของเขาตลอดกาล
แม้ว่าจะน่าเศร้าไม่น้อยที่ตำนานรายนี้ ด่วนจากโลกไปเร็วเกินคาด ด้วยวัยเพียง 64 ปี แต่เชื่อว่า ผลงาน และ สถิติ ที่เขาได้ฝากไว้ จะถูกจารึกไว้ ให้เหล่านักเตะรุ่นหลัง ได้ยึดถือเป็นแบบอย่างตราบนานเท่านาน

นอกจากนั้น อินเตอร์ มิลาน ยังมีการรีไทร์ เสื้อหมายเลข 4 ให้กับยอดดาวเตะอีกคนหนึ่ง ที่ปัจจุบันนั่งแท่นยิ้มแฉ่งเป็น รองประธานสโมรสรอย่าง ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ อดีตแบ็คขวากระดูกเหล็ก ที่แฟนบอลยุค 90 คงคุ้นชื่อกันเป็นอย่างดี
แม้ว่า ซาเน็ตติ จะไม่ใช่นักเตะลูกหม้อของสโมสร เพราะย้ายมาจาก บานฟิลด์ ทีมในลีกอาร์เจนติน่า บ้านเกิด แต่การลงรับใช้ทีมตลอดระยะเวลา 19 ฤดูกาล นั้นทำให้เขากลายเป็น ไอค่อน หรือ สัญลักษณ์ของทีม แบบไม่มีใครกล้าโต้แย้ง
ซาเน็ตติ ติดอันดับ 10 ของนักเตะที่ลงเล่น ในเกมอย่างเป็นทางการ มากที่สุดตลอดกาล ด้วยจำนวน 1,114 นัด สไตล์การเล่นของเขา เต็มเปี่ยมไปด้วยความเร็ว ดุดัน มีวินัยทั้งรุก และ รับ ถึงขนาดที่ ปีกพ่อมดอย่าง ไรอัน กิ๊กส์ ยกให้เป็นหนึ่งในคู่แข่งที่เขาเล่นด้วยยากที่สุดคนหนึ่งเลยทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น ซาเน็ตติ ในวัยเก๋า หลังเก็บเกี่ยวประสบการณ์ มาอย่างเต็มที่ ในเวทีชั้นนำ ยังถูกจับไปเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลาง ซึ่งมาตรฐานโดยรวม ไม่ได้แตกต่าง จากการลงเล่นในตำแหน่งถนัดทางริมเส้น แม้แต่นิดเดียว
เขาเป็นกำลังสำคัญ พาต้นสังกัด กวาดครบทุกแชมป์ในระดับสโมสร ทั้งแชมป์ลีก บอลถ้วยในประเทศ บอลถ้วยระดับทวีป ทั้งเล็ก-ใหญ่ รวมไปถึงสโมสรโลก จนล้นตู้สโมสร ยังไม่นับรางวัล ที่เป็นเกียรติประวัติส่วนตัว อีกนับไม่ถ้วน
แต่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ที่ผลงานในระดับชาติ นั้นเขาไปไม่ถึงดวงดาว แม้แต่รายการเดียว เหลือเพียงแค่สถิติ การรับใช้ทีมไปถึง 143 นัด ให้นักเตะรุ่นหลัง มาเทียบเคียงในอนาคตเท่านั้น
การให้เกียรติของ นาโปลี
หากข้ามการยกเลิกเบอร์เสื้อของสโมสร นาโปลี แฟนบอลอิตาเลี่ยนพันธุ์แท้ คงต้องมีเคืองกันบ้างแน่ๆ เพราะการรีไทร์เสื้อหมายเลข 10 ของทีม ที่เป็นสัญลักษณ์ของจอมทัพ หรือ อาจสื่อถึงนักเตะที่เก่งที่สุดของทีม แบบเป็นนัยๆ ในโลกฟุตบอล

ชาวเมืองเนเปิ้ล คงไม่มีใครกล้าแย้ง และ คัดค้าน บุคคลที่คู่ควร และ มีสิทธิ์แบบเต็มภาคภูมิอย่าง ดิเอโก้ มาราโดน่า ยอดดาวเตะชาวอาร์เจนติน่า ผู้ล่วงลับ ซึ่งเปรียบเสมือนเทพเจ้าแห่งสโมสร นาโปลี อย่างแน่นอน หาก บราซิล มี เปเล่ เป็นตัวชูโรงฝั่ง ฟ้าขาว คู่ปรับ ก็พร้อมเสนอชื่อ มาราโดน่า เข้าชิงตำแหน่ง นักเตะที่เก่งที่สุดในโลกตลอดกาล อย่างเต็มภาคภูมิเช่นกัน
แม้จะแพ้ผลโหวตในโลกออนไลน์ ว่าเขาเป็นอันดับที่สอง แต่ประเด็นนี้ แฟนบอล ยังเถียงกันคอเป็นเอ็น จนถึงบัดนี้ ก็ยังไม่มีคำตอบ ว่าใครเก่งกว่ากันแน่ ไม่ต่างกับกรณีของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เวอร์ซัส ลิโอเนล เมสซี่ ในยุคปัจจุบัน
แม้แต่ตัวนักเตะเอง ไม่ว่าจะเป็น เปเล่ หรือ มาราโดน่า ก็เคยออกมาขิงกันตามสื่อ ให้แฟนบอลได้ยิ้มอ่อน เหมือนเห็นลุงสองคนทะเลาะกันอยู่เสมอ เพราะต่างฝ่ายต่างเชื่อว่า ตัวเองนั้นมีฝีเท้าเหนือกว่า
การใช้ชีวิตของ มาราโดน่า เป็นไปตามที่เขาเคยกล่าวไว้ว่า “ตัวผมน่ะ ไม่ขาว ก็ดำไปเลย แต่ไม่เคยเป็นสีเทา” เคยมีวลีเด็ดๆ ในอินเตอร์เน็ตมากมาย ที่กล่าวถึงการเปรียบเทียบระหว่าง ยอดนักเตะสองรายนี้ แต่ที่น่าจะเด็ดที่สุด อันตราตรึงในความทรงจำ
คงจะเป็น การแต่งวลีปลอมๆ ของชาวเน็ต ประมาณว่า มาราโดน่า พูดถึง เปเล่ ดังนี้ “ระหว่างที่เขากำลังซ้อมบอลอย่างหนัก เพื่อให้เป็นผู้เล่นที่เก่งฉกาจ ตอนนั้นผมยังปาร์ตี้อยู่เลย เพราะผมเก่งอยู่แล้ว” ซึ่งมันสะท้อนภาพการใช้ชีวิตของเขา ได้ชัดเจนอย่างน่าแปลกใจ
หากแฟนบอล อยากจะจินตนาการ ถึงนักเตะในยุคนี้สักคน ที่มีสไตล์การเล่น คล้ายคลึงกับ เสือเตี้ย ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด คงจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก เมสซี่ ที่แทบจะถอดแบบ ดีเอ็นเอ กันมาแบบตรงสำเนาสุดๆ ทั้งรูปร่าง ลีลา และ ศักยภาพฝีเท้า
จะแตกต่างกันก็เพียง วันัยนอกสนามที่ทาง มาราโดน่า นั้นขึ้นชื่อเรื่องความ เกเร เสเพล แบบสุดขั้ว หลังจากตัดสินใจ ก้าวออกมาเผชิญความท้าทายใหม่ๆ กับ บาร์เซโลน่า ด้วยค่าตัว สถิติโลก แล้วฝากผลงานคว้าแชมป์บอลถ้วย สามรายการในสเปน เอาไว้ให้ อาซูลกราน่า ได้คิดถึง
มาราโดน่า ก็ย้ายสังกัดด้วยค่าตัวสถิติโลกอีกครั้ง ด้วยการไปเปิดแมพใหม่ในอิตาลี กับสโมสร นาโปลี ซึ่งที่แห่งนี้เอง ที่เขาร่ายมนต์ในสนาม จนได้รับการยกย่องให้เป็นตำนาน
มาราโดน่า ได้รับอิทธิพลอย่างมาก หลังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีม ซึ่งเขาก็ตอบแทนความเชื่อมั่นนั้น ด้วยการแบกทีม คว้าแชมป์ลีกครั้งแรก ในประวัติศาสตร์สโมสรได้สำเร็จ ต่อยอดด้วยแชมป์บอลถ้วย ทั้งในระดับประเทศ และระดับทวีป ที่ตามมาอีกสามรายการ ในภายหลัง
เท่านี้ก็ถือว่าเพียงพอ สำหรับสโมสร ที่ไม่เคยไปถึงจุดสูงสุดของลีกมาก่อน นับว่ายุคนั้นเป็นยุคทองช่วงพีค เพียงครั้งเดียว ตราบมาจนถึงทุกวันนี้ของชาว เนเปิ้ล หลังจากอำลาทีมไป ปัญหาเรื่องยาเสพย์ติด และ สิ่งมอมเมาต่างๆ ทำให้อาชีพของเขา เริ่มถดถอยลงตามสภาพ เหลือทิ้งไว้แค่ภาพความทรงจำ อันสวยงาม ที่เป็นเหมือนดั่งประวัติศาสตร์ ที่จารึกไว้บนผืนหญ้าเท่านั้น
ผลงานในระดับชาติของ มาราโดน่า คือการพา ฟ้าขาว ครองแชมป์โลกได้สำเร็จ ในปี 1986 ซึ่งมีเหตุการณ์อันน่าจดจำ และ ความผิดพลาด ระดับไม่น่าให้อภัยครั้งหนึ่งที่สุด เกิดขึ้นในเกมเดียว
การโคจรมาเจอกับ ทีมชาติอังกฤษ ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ไม่ใช่งานง่ายของทัพฟ้าขาว แต่ด้วยความเจ้าเล่ห์ รวมเข้ากับฝีเท้าอันยอดเยี่ยมของ มาราโดน่า ก็พาทีมบดเอาชนะไปได้ด้วยสกอร์ 2-1
ประตูแรกนั้น เป็นการตัดสินที่ผิดพลาดของกรรมการ ที่เป่าให้ประตูขึ้นนำกับ อาร์เจนติน่า ทั้งที่ มาราโดน่า ใช้มือช่วยแบบเต็มๆ ซึ่งความกวนส้นของดาวเตะรายนี้ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “ประตูนั้นอะ…มันเกิดขึ้นจากหัตถ์พระเจ้า บวกกับหัวของ มาราโดน่า อีกนิดหน่อย”
แต่ลูกที่สอง ที่เป็นประตูตอกฝาโลง นั้นถูกยกย่องให้เป็น ประตูแห่งศตวรรษ เกิดขึ้นในนาทีที่ 55 จากจังหวะที่ มาราโดน่า รับบอลจากแดนตัวเอง ก่อนลากเลี้ยงหลบผู้เล่น สิงโตคำราม คนแล้วคนเล่า รวมไปถึงผู้รักษาประตู ก่อนจะยิงเข้าไปนิ่มๆ
ไม่ว่าข้อกังขา ที่เป็นประเด็นโต้แย้ง จะถูกถกเถียงกันไปอีกนานเท่าไหร่? ประวัติศาตร์ที่ มาราโดน่า พา ทีมชาติอาร์เจนติน่า เป็นแชมป์โลกในปีนั้น ก็ไม่มีวันเปลี่ยนไปตลอดกาล
เว็บไซต์ ออฟพิชท์ มุ่งเน้นการนำเสนอ ข่าวสารที่น่าสนใจ จากวงการฟุตบอลทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะเป็นในประเทศ หรือ นอกประเทศ ประเด็นไหนที่กำลังร้อนตามกระแส ไม่มีทางปล่อยผ่านให้หลุดมือ พร้อมตีแผ่ให้ลึกแบบถึงกึ๋น ติดตามพวกเราไว้ รับรองได้ว่า ไม่มีตกเทรนด์แน่นอน